วันจันทร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2556

อนุทิน 3

แบบฝึกหัดทบทวน(อนุทิน 3 )
เมื่อนักศึกษาได้ศึกษาบทเรียนนี้แล้ว จงตอบคาถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง
1. นักศึกษาอธิบายคานิยามต่อไปนี้ ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542
ก. การศึกษา  ข. การศึกษาขั้นพื้นฐาน  ค. การศึกษาตลอดชีวิต  ง. มาตรฐานการศึกษา
จ. การประกันคุณภาพภายใน  ช. การประกันคุณภาพภายนอก  ซ. ผู้สอน  ฌ. ครู
ญ. คณาจารย์  ฐ. ผู้บริหารสถานศึกษา ฒ.  ผู้บริหารการศึกษา  ณ. บุคลากรทางการศึกษา
ตอบ   ก. การศึกษา หมายความว่า กระบวนการเรียนรู้เพื่อความเจริญงอกงามของบุคคลและสังคมโดยการถ่ายทอดความรู้ การฝึก การอบรม การสืบสานทางวัฒนธรรม การสร้างสรรค์จรรโลง ความก้าวหน้าทางวิชาการ การสร้างองค์ความรู้อันเกิดจากการจัดสภาพแวดล้อม สังคม การเรียนรู้ และปัจจัยเกื้อหนุนให้บุคคลเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต
         ข. การศึกษาขั้นพื้นฐาน หมายความว่า การศึกษาก่อนระดับอุดมศึกษา
          ค.การศึกษาตลอดชีวิต หมายความว่า การศึกษาที่สามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตได้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต โดยเกิดจากการผสมผสานระหว่างการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบการศึกษาตามอัธยาศัย
                ง. มาตรฐานการศึกษา หมายความว่า ข้อกำหนดเกี่ยวกับคุณลักษณะคุณภาพที่พึงประสงค์และมาตรฐานที่ต้องการให้เกิดขึ้นในสถานศึกษาทุกแห่ง และเพื่อใช้เป็นหลักในการเทียบเคียงสำหรับส่งเสริมและกำกับดูแล การตรวจสอบ การประเมิน และการประกันคุณภาพทางการศึกษา
                จ. การประกันคุณภาพภายใน หมายความว่า การประเมินผลและการติดตามตรวจสอบคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาจากภายใน โดยบุคลากรของสถานศึกษานั้นเอง หรือหน่วยงานต้นสังกัดที่มีหน้าที่กำกับดูแลสถานศึกษานั้น
               ช. การประกันคุณภาพภายนอก หมายความว่า การประเมินผลและการติดตามตรวจสอบคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาจากภายนอก โดยสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษาหรือบุคคลหรือหน่วยงานภายนอกที่สำนักงานดังกล่าวรองรับ เพื่อเป็นการประกันคุณภาพ และให้มีการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานของสถานศึกษา 
              ซ. ผู้สอน หมายความว่า ครูและคณาจารย์ในสถานศึกษาระดับต่าง ๆ
              ฌ. ครู หมายความว่า บุคลากรวิชาชีพซึ่งทำหน้าที่หลักทางด้านการเรียนการสอนและการส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียนด้วยวิธีการต่าง ๆ ในสถานศึกษาทั้งของรัฐและเอกชน
ซึ่งอธิบายสมาน คนได้ (2543,29) กล่าวว่า ครู มีองค์ประกอบ 2 อย่างคือ
1. ทำหน้าที่หลักด้านการเรียนการสอน
2. ทำหน้าที่นั้นในสถานศึกษา
             ญ. คณาจารย์ หมายความว่า บุคลากรซึ่งทำหน้าที่หลักทางด้านการสอนและการวิจัยในสถานศึกษาระดับอุดมศึกษาและระดับปริญญาของรัฐและเอกชน
             ฐ. ผู้บริหารสถานศึกษา  หมายความว่า บุคลากรวิชาชีพที่รับผิดชอบการบริหารสถานศึกษาแต่ละแห่งทั้งของรัฐและเอกชน
            ฒ. ผู้บริหารการศึกษา หมายความว่า บุคลากรวิชาชีพที่รับผิดชอบการบริหารการศึกษานอกสถานศึกษาตั้งแต่ระดับเขตพื้นที่การศึกษาขึ้นไป
            ณ. บุคลากรทางการศึกษา หมายความว่า ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษา รวมทั้งผู้สนับสนุนการศึกษาซึ่งเป็นผู้ทำหน้าที่ให้บริการ หรือปฏิบัติงานเกี่ยวเนื่องกับการจัดกระบวนการเรียนการสอน การนิเทศและการบริหารการศึกษาในหน่วยงานการศึกษาต่าง ๆ
2. ความมุ่งหมายและหลักการจัดการศึกษาได้กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการศึกษานี้อย่างไรบ้างให้อธิบาย
ตอบ    ความมุ่งหมายและหลักการของการจัดการศึกษา (มาตรา 6-มาตรา 9)
1. ความมุ่งหมายของการจัดการศึกษา (มาตรา 6)
        การจัดการศึกษาต้องเป็นไปเพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้ และคุณธรรม มีจริยธรรมและวัฒนธรรมในการดารงชีวิตสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุ
2. กระบวนการเรียนรู้ (มาตรา 7)
         กระบวนการเรียนรู้ ต้องมุ่งปลูกฝังจิตสำนึกที่ถูกต้องเกี่ยวกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รู้จักรักษาและส่งเสริมสิทธิ หน้าที่ เสรีภาพ ความเคารพกฎหมาย ความเสมอภาค และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์มีความภาคภูมิใจในความเป็นไทย รู้จักรักษาผลประโยชน์ส่วนรวมและของประเทศชาติ รวมทั้งส่งเสริมศาสนาศิลปะ
3. หลักการจัดการศึกษา มี 3 ประการคือ (มาตรา 8)
        (1) เป็นการศึกษาตลอดชีวิตสำหรับประชาชน
        (2) ให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา
        (3) การพัฒนาสาระและกระบวนการเรียนรู้ให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง
4. การจัดระบบ โครงสร้าง และกระบวนการจัดการศึกษาให้ยึดหลักดังนี้ (มาตรา 9)
        (1) มีเอกภาพด้านนโยบาย และมีความหลากหลายในการปฏิบัติ
        (2) มีการกระจายอำนาจ ไปสู่เขตพื้นที่การศึกษา สถานศึกษาและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
        (3) มีการกำหนดมาตรฐานการศึกษา และจัดระบบประกันคุณภาพการศึกษาทุกระดับและประเภทการศึกษา
        (4) มีหลักการส่งเสริมมาตรฐานวิชาชีพครู คณาจารย์และบุคลากรทางการศึกษา และการพัฒนาครู คณาจารย์และบุคลากรทางการศึกษาอย่างต่อเนื่อง
        (5) ระดมทรัพยากร จากแหล่งต่าง ๆ มาใช้ในการจัดการศึกษา

        (6) การมีส่วนร่วม ของบุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เอกชน องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการ และสถาบันสังคมอื่น
3. หลักการจัดการศึกษาประกอบด้วยอะไรบ้าง จงอธิบาย
ตอบ หลักการจัดการศึกษา มี 3 ประการคือ (มาตรา 8)
       (1) เป็นการศึกษาตลอดชีวิตสำหรับประชาชน
       (2) ให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา
       (3) การพัฒนาสาระและกระบวนการเรียนรู้ให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง
       1.   การศึกษาตลอดชีวิต  ถือว่าการจัดการศึกษานั้นเป็นการศึกษาตลอดชีวิตสำหรับประชาชน  การศึกษานี้ต้องครอบคลุมทุกด้าน มิใช่เฉพาะชีวิตการงานเท่านั้น เพราะไม่เพียงบุคคลต้องพัฒนาตนเองและความสามารถในการประกอบอาชีพของตน คนแต่ละคนต้องมีส่วนร่วมรับผิดชอบในการพัฒนาชุมชนและประเทศโดยส่วนรวม
        2.   การมีส่วนร่วม สังคมต้องมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาแสดงออกได้หลายลักษณะ เช่น ร่วมเป็นกรรมการ ร่วมแสดงความคิดเห็น ร่วมสนับสนุนกิจกรรมทางการศึกษา ร่วมสนับสนุนทรัพยากร ร่วมติดตามประเมิน ส่งเสริมให้กำลังใจและปกป้องผู้ปฏิบัติงานที่มุ่งประโยชน์ต่อส่วนรวม
        3.   การพัฒนาต่อเนื่อง  คือ  การจัดการศึกษาต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาสาระและกระบวนการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การพัฒนานี้มีทั้งการค้นคิดสาระและกระบวนการเรียนรู้ใหม่ๆ การประยุกต์ปรับปรุงเนื้อหาสาระที่มีอยู่ และการติดตามเรียนรู้เนื้อหาสาระที่มีผู้ประดิษฐ์คิดค้นมาแล้วเป็นหน้าที่ของทุกฝ่ายที่จะช่วยกันดูแลให้ความรู้ใหม่ๆ เป็นประโยชน์ต่อผู้เรียนและสังคมอย่างแท้จริง
4. การจัดระบบ โครงสร้าง และกระบวนการจัดการศึกษา ตามที่กฎหมายกำหนดมีอะไรบ้าง
ตอบ  หมวด 3 ระบบการศึกษา (มาตรา 15-21) มีดังนี้
        1. การจัดการศึกษามี 3 รูปแบบ คือ การศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ การศึกษาตามอัธยาศัย สถานศึกษาแต่ละแห่งสามารถจัดการศึกษาได้ 3 รูปแบบหรือรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง
ซึ่งทั้ง 3 รูปแบบนี้สามารถเทียบโอนกันได้
        2. การจัดการศึกษาแบ่งเป็น 2 ระดับคือ การศึกษาขั้นพื้นฐาน การศึกษาระดับอุดมศึกษา สาหรับการศึกษาขั้นพื้นฐาน จะเรียกชื่อเป็นประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้น มัธยมศึกษาตอนปลาย หรืออย่างอื่นที่กำหนดในกฎกระทรวง การศึกษาระดับอุดมศึกษา มี 2 ระดับคือ ระดับปริญญาและต่ำกว่าปริญญา
        3. การศึกษาภาคบังคับมีกำหนด 9 ปี เด็กอายุ 6 ขวบต้องเข้าเรียนในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานจนถึง
อายุ 15 ขวบ เว้นแต่สอบได้ชั้นปีที่ 9 ของการศึกษาภาคบังคับ หลักเกณฑ์การนับอายุให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
        4. การจัดการศึกษาปฐมวัยและการศึกษาขั้นพื้นฐาน ให้จัดในสถานศึกษา 3 ประเภทคือ (1) สถานพัฒนาเด็กปฐมวัย (2) โรงเรียน (3) ศูนย์การเรียน
        5. การอาชีวศึกษาให้จัดในสถานศึกษาของรัฐและเอกชนรวมทั้งสถานประกอบการและองค์กรหรือหน่วยงานอื่น ตามกฎหมายว่าด้วยอาชีวศึกษา
        6. กระทรวง ทบวง กรม รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐ อาจจัดการศึกษาเฉพาะทางตามความต้องการและความชำนาญของหน่วยงาน โดยคำนึงถึงนโยบายและมาตรฐานการศึกษาของชาติ ทั้งนี้ ตามทหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง
5. สิทธิและหน้าที่ทางการศึกษา ที่กำหนดไว้ในกฎหมายมีอะไรบ้าง
ตอบ    สิทธิและหน้าที่ทางการศึกษา คือ
                                1.การจัดการศึกษาต้องจัดให้บุคคลมีสิทธิและโอกาสเสมอกันในการรับการศึกษาขั้นพื้นฐานไม่น้อยกว่า 12 ปี อย่างทั่วถึง
                                2. บุคคลที่มีความบกพร่องทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์สังคม ผู้ด้อยโอกาสและผู้มีความสามารถพิเศษ มีสิทธิได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นพิเศษ
                                3. พ่อแม่ ผู้ปกครอง ครอบครัวรวมไปถึงองค์กรต่างๆ จะมีสิทธิจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานให้แก่บุตรหลานของตน  ผู้จัดการศึกษาขั้นพื้นฐานมีสิทธิได้รับการสนับสนุนและเงินอุดหนุนจากรัฐ รวมทั้งได้รับการลดหย่อนภาษีหรือยกเว้นภาษี ตามที่กฎหมายกำหนด
6. ระบบการศึกษามีกี่รูปแบบแต่ละรูปแบบมีอะไรบ้าง จงอธิบาย
ตอบ  1. การจัดการศึกษามี 3 รูปแบบ คือ การศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ การศึกษา
ตามอัธยาศัย สถานศึกษาแต่ละแห่งสามารถจัดการศึกษาได้ 3 รูปแบบหรือรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง
ซึ่งทั้ง 3 รูปแบบนี้สามารถเทียบโอนกันได้
         2. การจัดการศึกษาแบ่งเป็น 2 ระดับคือ การศึกษาขั้นพื้นฐาน การศึกษาระดับอุดมศึกษา สาหรับการศึกษาขั้นพื้นฐาน จะเรียกชื่อเป็นประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้น มัธยมศึกษาตอนปลาย หรืออย่างอื่นที่กำหนดในกฎกระทรวง การศึกษาระดับอุดมศึกษา มี 2 ระดับคือ ระดับปริญญาและต่ำกว่าปริญญา
        3. การศึกษาภาคบังคับมีกำหนด 9 ปี เด็กอายุ 6 ขวบต้องเข้าเรียนในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานจนถึงอายุ 15 ขวบ เว้นแต่สอบได้ชั้นปีที่ 9 ของการศึกษาภาคบังคับ หลักเกณฑ์การนับอายุให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
       4. การจัดการศึกษาปฐมวัยและการศึกษาขั้นพื้นฐาน ให้จัดในสถานศึกษา 3 ประเภทคือ (1) สถานพัฒนาเด็กปฐมวัย (2) โรงเรียน (3) ศูนย์การเรียน
      5. การอาชีวศึกษาให้จัดในสถานศึกษาของรัฐและเอกชนรวมทั้งสถานประกอบการและองค์กรหรือหน่วยงานอื่น ตามกฎหมายว่าด้วยอาชีวศึกษา
     6. กระทรวง ทบวง กรม รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐ อาจจัดการศึกษาเฉพาะทางตามความต้องการและความชำนาญของหน่วยงาน โดยคำนึงถึงนโยบายและมาตรฐานการศึกษาของชาติ ทั้งนี้ ตามทหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง
7. การจัดการศึกษาในระบบมีอะไรบ้าง จงอธิบาย
ตอบ   1. สาระเนื้อหาในการศึกษา การจัดการศึกษาในระบบ จะจัดทำหลักสูตรเป็นตัวกำหนดเนื้อหาสาระหลักสูตรในหลักสูตรกลางแต่ละระดับขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้สถานศึกษาแต่ละแห่งสามารถจัดเนื้อหาสาระที่เหมาะสมกับท้องถิ่นได้ด้วย โดยมีเนื้อหาสาระที่ทันสมัย ทันต่อเหตุการณ์ เหมาะสมกับความต้องการของผู้เรียน และสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการจัดการศึกษา ทั้งนี้ต้องทบทวนเนื้อหาสาระ เพื่อปรับแก้ไขให้ถูกต้องทันสมัย และให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่ผู้เรียน
         2. ครู ครูผู้สอน หรือผู้ให้การเรียนรู้ ผู้ถ่ายทอดเนื้อหาสาระได้แก่ ครู และอาจารย์ ซึ่งถือเป็นผู้ประกอบอาชีพชั้นสูง บุคคลเหล่านี้ต้องได้รับการอบรมทั้งในด้านเนื้อหา และวิธีการถ่ายทอด เพื่อให้สามารถถ่ายทอดความรู้ และสาระวิชาที่เป็นประโยชน์ต่อผู้เรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
         3. สื่อและอุปกรณ์สำหรับการศึกษา เช่น อาคารสถานที่ โต๊ะเก้าอี้ กระดานเขียน หนังสือ แบบเรียน สมุด ดินสอ ตลอดทั้งอุปกรณ์ที่ทันสมัยที่มีราคาแพงทั้งหลาย เช่น อุปกรณ์ในห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ เครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นต้น สื่อและอุปกรณ์เหล่านี้เป็นส่วนประกอบที่จำเป็นสำหรับการจัดการศึกษา
         4. รูปแบบวิธีการเรียนการสอน การศึกษาในระบบยุคปฏิรูปการศึกษา เน้นความสำคัญที่ตัวผู้เรียน รูปแบบวิธีการเรียนการสอนใหม่แตกต่างไปจากเดิม ซึ่งมีกระบวนการเรียนการสอนที่หลากหลาย เช่น การระดมความคิด การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน การนำชมนอกสถานที่เรียน การใช้อุปกรณ์เครื่องมือประกอบ
         5. สถานศึกษาและบรรยากาศแวดล้อม การจัดการศึกษาในระบบ ยังต้องอาศัยชั้นเรียนยังเป็นสิ่งจำเป็น ดังนั้นอาคารสถานที่ห้องเรียน และบรรยากาศแวดล้อมที่ใช้ในการจัดการศึกษาเป็นสิ่งจำเป็นซึ่งจะต้องจัดบรรยากาศแวดล้อมที่เอื้อการเรียนรู้
         6. ผู้เรียน ผู้เรียนหรือผู้ศึกษาถือเป็นองค์ประกอบสำคัญที่สุดของการจัดการศึกษา เพราะผู้เรียนคือผู้รับการศึกษาและเป็นเป้าหมายหลักของการจัดการศึกษา การปรับเปลี่ยนความรู้และพฤติกรรมของผู้เรียน เป็นดัชนีชี้วัดผลสัมฤทธิ์ของการจัดการศึกษา การจัดการศึกษาจึงครอบคลุมขั้นตอนที่เกี่ยวกับการเรียนรู้ของผู้เรียนตั้งแต่การเตรียมความพร้อม สำหรับการเรียนรู้ การให้การศึกษาอบรมการประเมินและการส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ต่อเนื่อง
8. สถานศึกษาที่เป็นนิติบุคคลเป็นอย่างไร
ตอบ   นิติบุคคล  เป็นบุคคลที่กฎหมายสมมุติขึ้นเพื่อให้มีสิทธิ  หน้าที่  และสามารถทำกิจการอันเป็นการก่อนิติสัมพันธ์ได้ตามในกรอบวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้  แบ่งเป็น
     1. นิติบุคคลในกฎหมายเอกชน  หมายถึง  นิติบุคคลที่เกิดขึ้นตามบทบัญญัติของประมวลกฎหมายแบ่งและพานิชย์
     2. นิติบุคคลตามกฎหมายมหาชน  หมายถึง  นิติบุคคลที่เกิดขึ้นตามกฎหมายมหาชน  คือมีพระราชบัญญัติ  หรือกฎหมายอื่นที่อาศัยอำนาจจากพระราชบัญญัติกำหนดให้จัดตั้งขึ้นเป็นการเฉพาะ  โดยทั่วไปจะดำเนินกิจกรรมที่เป็นสาธารณะและมีการใช้อำนาจมหาชน  เช่น  กระทรวง  ทบวง  กรมองค์องค์การมหาชนของรัฐ  เทศบาลวัด เป็นต้น
     สถานศึกษาที่เป็นนิติบุคคลจึง  หมายถึง  โรงเรียนในสังกัดเขตพื้นที่การศึกษาที่กฎหมายยอมรับให้สามารถกระทำกิจกรรมต่างๆ  ได้ด้วยตนเองตามในกรอบวัตถุประสงค์  มีสิทธิและหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายและระเบียบราชการกระทรวงศึกษาธิการ  ประมวลกฎหมายแพ่งและพานิชย์และกฎหมายอื่นซึ่งกำหนดสิทธิและหน้าที่ของสถานศึกษาไว้เป็นการเฉพาะ
 9. แนวทางการจัดการศึกษามีหลักยึดอะไรบ้าง
ตอบ     แนวการจัดการศึกษาเป็นหัวใจของการปฏิรูปการศึกษา มีสาระสำคัญดังนี้
      1. ยึดหลักว่าทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ ให้ถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด
และต้องให้แต่ละคนสามารถพัฒนาตามความถนัด ความสนใจและเต็มศักยภาพของเขา
       2. เนื้อหาสาระของการศึกษาทุกระบบทุกรูปแบบ ต้องเน้นความรู้คู่คุณธรรมและ
กระบวนการเรียนรู้ โดยบูรณาการ (ผสมผสาน) ตามความเหมาะสมของระดับการศึกษา
       3. เนื้อหาสาระของวิชาความรู้ที่ต้องไปกำหนดหลักสูตรและจัดการเรียนรู้
       4. การจัดกระบวนการเรียนรู้ให้สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
       5. รัฐต้องส่งเสริมการดำเนินงานและการจัดตั้งแหล่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตทุกรูปแบบได้แก่
ห้องสมุดประชาชน พิพิธภัณฑ์ หอศิลป์ สวนสัตว์ สวนสาธารณะ  เป็นต้น
       6. ให้สถานศึกษาจัดประเมินผู้เรียนโดยพิจารณาจากพัฒนาการของผู้เรียน ความประพฤติ การสังเกตพฤติกรรมการเรียนของนักเรียน การร่วมกิจกรรมและการทดสอบควบคู่ไปในกระบวน การเรียนการสอนตามความเหมาะสมของแต่ละระดับ
       7. ให้สถานศึกษาใช้วิธีการหลากหลายในการจัดสรรโอกาสการเข้าศึกษาต่อ และให้นาผลการประเมินผู้เรียนในระดับก่อนนั้นมาพิจารณามาประกอบด้วย
       8. หลักสูตรแกนกลางของการศึกษาขั้นพื้นฐานกำหนดโดยคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานและให้สถานศึกษาจัดทาสาระของหลักสูตรในส่วนที่เกี่ยวกับสภาพปัญหา ในชุมชนและสังคมและประเทศชาติ
       9. หลักสูตรการศึกษาระดับต่าง ๆ รวมทั้งหลักสูตรการศึกษาสาหรับบุคคลที่บกพร่องทางร่างกาย คนพิการ และบุคคลที่มีความสามารถพิเศษ ต้องมีลักษณะที่หลากหลาย ให้จัดตามความเหมาะสมของแต่ละระดับ มุ่งพัฒนาคุณภาพชีวิตของบุคคลให้เหมาะสมแก่วัยและศักยภาพ
      10. สาระของหลักสูตร ที่เป็นวิชาการและวิชาชีพ มุ่งพัฒนาคนให้มีความสมดุล ทั้งด้านความรู้ ความคิด ความสามารถ ความดีงาม และความรับผิดชอบต่อสังคม และหลักสูตรการศึกษาระดับอุดมศึกษา มีความมุ่งหมายที่จะพัฒนาวิชาการ วิชาชีพชั้นสูงและการค้นคว้า วิจัย เพื่อพัฒนาองค์ความรู้และพัฒนาสังคม
      11. ให้สถานศึกษาร่วมกับบุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เอกชน องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการ และสถาบันสังคมอื่นๆ
      12. ให้สถานศึกษาต้องพัฒนากระบวนการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งส่งเสริมให้ผู้สอนสามารถวิจัยพัฒนาการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับผู้เรียนในแต่ระดับการศึกษา
10. ท่านเห็นด้วยหรือไม่ที่กำหนดให้ครู ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารการศึกษา ทั้งรัฐและเอกชนจะต้องมีใบประกอบวิชาชีพ
ตอบ  เห็นด้วย   ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ 2542 ซึ่งถือเป็นกฎหมายแม่บททางการศึกษาของประเทศไทยที่ได้ประกาศราชกิจจาอุเบกขาเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 19 พ.ศ 2542 หมวดที่ 7 ครู คณาจารย์และบุคคลทางการศึกษา ได้กำหนดให้มี องค์กรวิชาชีพครู ผู้บริหารสถานศึกษา และ ผู้บริหารศึกษา มีฐานะเป็นองค์อิสระภายใต้การบริหารของการบริหารวิชาชีพในกำกับของกระทรวง มีอำนาจหน้าที่กำหนดมาตรฐานและจรรยาบรรณวิชาชีพ ดังนั้น เพื่อเป็นการเตรียมให้เป็นไปตามเจตนารมณ์และพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ
11. มีวิธีการระดมทรัพยากรเพื่อพัฒนาการศึกษาในท้องถิ่นของท่านได้อย่างไรบ้าง
ตอบ   1.  ให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา ให้มีการระดมทรัพยากรและการลงทุนด้านงบประมาณการเงิน และทรัพย์สินทั้งจากรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น บุคคล ครอบครัว ชุมชน ฯลฯ มาใช้การจัดการศึกษาโดยเป็นผู้จัดและมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา บริจาคทรัพย์สินและทรัพยากรอื่นให้แก่สถานศึกษาและมีส่วนร่วมรับภาระค่าใช้จ่ายทางการศึกษาตามความเหมาะสม
            2.  จัดสรรทุนการศึกษาในรูปแบบของทุนกู้ยืมให้แก่ผู้เรียนที่มาจากครอบครัวที่มีรายได้น้อย ตามความเหมาะสมและความจำเป็น
             3.  จัดสรรเงินอุดหนุนการศึกษาที่จัดโดยบุคคล ครอบครัว องค์กรชุมชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการและสถาบันสังคมอื่นตามความเหมาะสมและความจำเป็น
              4. จัดสรรกองทุนกู้ยืมดอกเบี้ยต่ำให้สถานศึกษาเอกชนเพื่อให้พึ่งตนเองได้
              5. จัดตั้งกองทุนเพื่อพัฒนาการศึกษาของรัฐและเอกชน
               6. จัดสรรเงินอุดหนุนทั่วไปเป็นค่าใช้จ่ายรายบุคคลที่เหมาะสมแก่ผู้เรียนภารบังคับและการศึกษาขั้นพื้นฐานที่จัดโดยรัฐและเอกชนให้เท่าเทียมกัน
12. การพัฒนาสื่อและเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา มีวิธีการพัฒนาได้อย่างไร
ตอบ   วิธีการดำเนินงานเกี่ยวกับระบบงานสื่อโดยทั่วไป
      ระบบงานสื่อและเทคโนโลยีการศึกษาเป็นงานที่เสาะหาแนวทางการใช้ทรัพยากรการศึกษาและวิธีระบบการจัดการศึกษาที่มีประสิทธิภาพดังนั้นเพื่อให้ระบบงาน ดำเนินงานไปได้อย่างมีคุณภาพ จึงควรมีวิธีดำเนินงานระบบงานสื่อและเทคโนโลยีการศึกษาโดยทั่วไปเป็นขั้นตอน ดังนี้
               1. สำรวจความต้องการของผู้ใช้กลุ่มต่างๆ โดยใช้แบบสำรวจที่ดี
               2. เลือกและใช้วิธีการ (Means) ที่เหมาะสม
               3. รวบรวมทรัพยากรการศึกษาต่าง ๆ จากระบบงานสื่อและเทคโนโลยีการศึกษาระดับท้องถิ่น
               4. สื่อความเข้าใจกันและกัน เกี่ยวกับรูปแบบระบบงานที่กำหนดขึ้น
              5. ออกแบบ วางแผน จัดหาและผลิตสื่อตลอดจนวัสดุการศึกษาและการเรียนการสอนตามจุดมุ่งหมายและหลักสูตร
              6. จัดหาบุคลากร เพื่อดำเนินงานด้านต่าง ๆ ของระบบงาน
              7. มีการสื่อสาร รายงานและเผยแพร่ประชาสัมพันธ์อยู่เสมอ
              8. รับความช่วยเหลือทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ ในการผลิตการจัดหาและการใช้ทรัพยากรการศึกษาต่าง ๆ
              9. จัดสภาพแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้และเพื่อพัฒนาภารกิจของระบบงาน
            10. สถานที่ตั้งของหน่วยงานโครงการ ควรอยู่ในที่เหมาะสม มีความคล่องตัวเป็นศูนย์กลางติดต่อง่ายและใช้บริการสะดวก
            11. ร่วมมือและประสานงาน ในการกำหนดนโยบายระบบงาน ทั้งนโยบายทั่วไปและนโยบายเฉพาะกิจในการจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตร

วันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2556

อนุทิน 2

แบบฝึกหัด(อนุทิน 2)
เมื่อนักเรียนได้ศึกษาบทเรียนนี้แล้ว จงตอบคำถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง
1. ใครเป็นผู้ขอพระราชทานรัฐธรรมนูญ ฉบับแรกและมีเหตุผลอย่างไร และประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาเป็นอย่างไร จงอธิบาย
ตอบ  สมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปกฯ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7
มีเหตุผลดังนี้  บัดนี้การศึกษาสูงขึ้นแล้ว มีข้าราชการประกอบด้วยวุฒิปรีชาในรัฐาภิปาลนโยบายสามารถนำประเทศของตน ในอันที่จะก้าวหน้าไปสู่สากลอารยธรรมแห่งโลกโดยสวัสดี สมควรแล้วที่จะพระราชทานพระบรมวโรกาส ให้ข้าราชการและประชาชนของพระองค์ ได้มีส่วนมีเสียงตามความเห็นดีเห็นชอบในการจรรโลงประเทศสยามให้วัฒนาการในภายภาคหน้า
ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาคือ

หมวด 2 สิทธิและหน้าที่ของชนชาวสยาม มาตรา 14 ภายในบังคับแห่งกฎหมายบุคคลย่อมมีเสรีภาพบริบูรณ์ภายในร่างกายเคหสถาน ทรัพย์สิน การพูด การเขียน การโฆษณา การศึกษาอบรม การประชุมโดยเปิดเผย การตั้งสมาคม การอาชีพ
2.แนวนโยบายแห่งรัฐในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา ของรัฐธรรมนูญฯ พุทธศักราช  2492 ได้กำหนดอย่างไร อธิบาย
ตอบ  เมื่อปีพุทธศักราชที่ 2492 ได้กำหนดเกี่ยวกับการศึกษาดังนี้  คือได้กำหนดเสรีภาพให้กับประชาชนเกี่ยวกับการศึกษาและได้จัดสรรสถานศึกษาทั้งของรัฐและของเทศบาล ให้ความเสมอภาคกับบุคคลในการเข้ารับการศึกษาตามความสามารถของบุคคลนั้นๆ ให้บุคคลมีหน้าที่รับการศึกษาอบรมชั้นประถมศึกษาทำให้พลเมืองมีความรู้ความสามารถที่จะประกอบอาชีพมีจิตใจเป็นประชาธิปไตย รัฐจะส่งเสริมและบำรุงการศึกษาอบรมของสถานศึกษาที่อยู่ภายในการควบคุมดูแลและการศึกษาชั้นประถมศึกษาในสถานศึกษาของรัฐและของเทศบาลจะต้องจัดให้โดยไม่เก็บค่าเล่าเรียนรัฐจะต้องช่วยเหลือในด้านอุปกรณ์การศึกษาและการค้นคว้าในทางศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์
3.   เปรียบเทียบแนวนโยบายแห่งรัฐประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาของรัฐธรรมนูญฯ พุทธศักราช 2511 พุทธศักราช 2517 และ พุทธศักราช 2521 เหมือนหรือต่างกันอย่างไร อธิบาย
ตอบ    การศึกษาเมื่อปีพุทธศักราช   2511- 2517 -2521  มีความเหมือนหรือความต่างกัน ดังนี้
พุทธศักราช 2511 ทุกคนมีเสรีภาพในการศึกษาที่ไม่เป็นปรปักษ์ต่อหน้าที่ของพลเมืองตามกฎหมายว่าด้วยการศึกษาอบรมและไม่ขัดต่อกฎหมายในการจัดสรรสถานศึกษา
พุทธศักราช 2517  ทุกคนมีสิทธิ์เสมอกันในการรับการศึกษาขั้นมูลฐานตามกฎหมายการศึกษาภาคบังคับ  สถานศึกษาของรัฐและของท้องถิ่นจะต้องช่วยเหลือผู้ยากไร้เพื่อให้ได้รับทุนในการศึกษาและส่งเสริมการศึกษาสถิติ  วิทยาศาสตร์  และเทคโนโลยีในการพัฒนาประเทศ
พุทธศักราช 2521  ทุกคนย่อมมีเสรีภาพในการศึกษาที่ไม่ขัดต่อกฎหมายว่าด้วยการศึกษาภาคบังคับรัฐจะต้องช่วยเหลือผู้ยากไร้ให้ได้รับทุนและปัจจัยต่างๆในการศึกษาอบรมและฝึกอาชีพ รัฐจะต้องสนับสนุนการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  ส่งเสริมการพัฒนาเยาวชนให้เป็นผู้ที่มีสมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจและสติปัญญาเพื่อประโยชน์ในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมเพื่อความมั่นคงของรัฐ
4.ประเด็นที่ 1 รัฐธรรมนูญฯ พุทธศักราช 2475-2490 ประเด็นที่ 2 รัฐธรรมนูญฯพุทธศักราช 2492-2517 ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาเหมือนหรือต่างกันอย่างไร อธิบาย
ตอบ  ประเด็นที่ 1 รัฐธรรมนูญฯ พุทธศักราช 2475-2490  มีความแตกต่างกัน ดังนี้
พุทธศักราช 2475  ทุกคนย่อมมีเสรีภาพบริบูรณ์ภายในร่างกายเคหสถานทรัพย์การพูดการเขียนการโฆษณาการศึกษาอบรมการประชุมเปิดเผยและการตั้งสมาคมการอาชีพ
พุทธศักราช 2489  ทุกคนย่อมมีเสรีภาพบริบูรณ์ภายในร่างกายเคหสถานทรัพย์การพูดการเขียนการโฆษณาการศึกษาอบรม การชุมนุม สาธารณะการตั้งคณะกรรมการ การเมือง  การอาชีพภายใต้บังคับแห่งบทกฎหมาย
พุทธศักราช  2490  ทุกคนย่อมมีเสรีภาพบริบูรณ์ในการศึกษาอบรม  สถานศึกษาของรัฐและเทศบาลต้องให้ความเสมอภาคในการเข้าศึกษาอบรมตามความสามารถทั้งนี้การศึกษาอบรมต้องมีจุดประสงค์ที่จะให้ชนชาวไทยมีร่างกายแข็งแรงอนามัยสมบูรณ์มีความรู้ความสามารถในการประกอบอาชีพสถานศึกษาของรัฐและเทศบาลจะต้องไม่เก็บค่าเล่าเรียนและสนับสนุนอุปกรณ์ในการศึกษา
          ประเด็นที่ 2 รัฐธรรมนูญฯพุทธศักราช 2492-2517 ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาเหมือนหรือต่างกันดังนี้
พุทธศักราช 2492  ทุกคนย่อมมีเสรีภาพบริบูรณ์ในการศึกษาอบรม  สถานศึกษาของรัฐและเทศบาลต้องให้ความเสมอภาคในการเข้าศึกษาอบรมตามความสามารถทั้งนี้การศึกษาอบรมต้องมีจุดประสงค์ที่จะให้ชนชาวไทยมีร่างกายแข็งแรงอนามัยสมบูรณ์มีความรู้ความสามารถในการประกอบอาชีพสถานศึกษาของรัฐและเทศบาลจะต้องไม่เก็บค่าเล่าเรียนและสนับสนุนอุปกรณ์ในการศึกษา
พุทธศักราช  2511   ทุกคนย่อมมีเสรีภาพบริบูรณ์ในการศึกษาอบรม  สถานศึกษาของรัฐและเทศบาลต้องให้ความเสมอภาคในการเข้าศึกษาอบรมตามความสามารถทั้งนี้การศึกษาอบรมต้องมีจุดประสงค์ที่จะให้ชนชาวไทยมีร่างกายแข็งแรงอนามัยสมบูรณ์มีความรู้ความสามารถในการประกอบอาชีพสถานศึกษาของรัฐและเทศบาลจะต้องไม่เก็บค่าเล่าเรียนและสนับสนุนอุปกรณ์ในการศึกษา  สนับสนุนการวิจัยในศิลปวิทยาและวิทยาศาสตร์
พุทธศักราช 2517  ทุกคนมีสิทธิ์เสมอกันในการรับการศึกษาขั้นมูลฐานตามกฎหมายการศึกษาภาคบังคับ  สถานศึกษาของรัฐและของท้องถิ่นจะต้องช่วยเหลือผู้ยากไร้เพื่อให้ได้รับทุนในการศึกษาและส่งเสริมการศึกษาสถิติ  วิทยาศาสตร์  และเทคโนโลยีในการพัฒนาประเทศ
5. ประเด็นที่ 3 รัฐธรรมนูญฯ พุทธศักราช 2521-2534 ประเด็นที่ 4 รัฐธรรมนูญฯพุทธศักราช 2540-2550 ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาเหมือนหรือต่างกันอย่างไร อธิบาย
ตอบ   ประเด็นที่ 3 รัฐธรรมนูญฯ พุทธศักราช 2521-2534 มีความเหมือนและความต่างกันดังนี้
 พุทธศักราช 2521  ทุกคนย่อมมีเสรีภาพในการศึกษาที่ไม่ขัดต่อกฎหมายว่าด้วยการศึกษาภาคบังคับรัฐจะต้องช่วยเหลือผู้ยากไร้ให้ได้รับทุนและปัจจัยต่างๆในการศึกษาอบรมและฝึกอาชีพ รัฐจะต้องสนับสนุนการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  ส่งเสริมการพัฒนาเยาวชนให้เป็นผู้ที่มีสมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจและสติปัญญาเพื่อประโยชน์ในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมเพื่อความมั่นคงของรัฐ
พุทธศักราช 2534 บุคคลมีหน้าที่รับการศึกษา ส่งเสริมให้เอกชนมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาทุกระดับรัฐต้องส่งเสริมและเร่งรัดให้มีการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีส่งเสริมให้มีความเสมอภาคของชายและหญิงและเด็ก เยาวชนให้เป็นผู้มีความสมบูรณ์ทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญา คุณธรรมและจริยธรรมและให้ประชาชนเข้าใจการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ประเด็นที่ 4 รัฐธรรมนูญฯพุทธศักราช 2540-2550 ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาเหมือนหรือต่างกันดังนี้
พุทธศักราช 2540  บุคคลต้องมีเสรีภาพในทางวิชาการ การศึกษาอบรมการเรียนการสอนการวิจัยและการเผยแพร่งานวิจัยทางวิชาการมีสิทธิเสมอกันในการรับการศึกษาขั้นพื้นฐานไม่น้อยกว่า12 ปี โดยไม่เก็บค่าใช้จ่ายคุมครองเด็กและเยาวชนส่งเสริมความเสมอภาคของหญิงและชายพัฒนาความเป็นปึกแผ่นของครอบครัวต้องส่งเคราะห์คนชราผู้ยากไร้ คนพิการ หรือทุพพาลภาพและผู้ด้อยโอกาสให้มีคุณภาพที่ดีและพึ่งตนเองได้  สนับสนุนให้เอกชนจัดการศึกษาอบรมให้เกิดความรู้คู่คุณธรรมจัดให้มีกฎหมายการศึกษาแห่งชาติปรับปรุงการศึกษาให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม
พุทธศักราช 2550  การปกครองของประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขได้มีการประกาศใช้ยกเลิกและแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญหลายครั้งเพื่อให้เหมาะสมแก่สภาวการณ์ของบ้านเมืองและกาลสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป
6.เหตุใดรัฐธรรมนูญแต่ละฉบับจะต้องระบุในประเด็นที่รัฐจะต้องจัดการศึกษาอย่างเป็นธรรมและทั่วถึง อธิบาย
ตอบ  พัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการจัดการศึกษาในทุกระดับและทุกรูปแบบให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม จัดให้มีแผนการศึกษาแห่งชาติ กฎหมายเพื่อพัฒนาการศึกษาของชาติ จัดให้มีการพัฒนาคุณภาพครูและบุคลากรทางการศึกษาให้ก้าวหน้าทันการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก รวมทั้งปลูกฝังให้ผู้เรียนมีจิตสานึกของความเป็นไทย มีระเบียบวินัย คำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวม และยึดมั่นในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
7.เหตุใดรัฐจึงต้องกำหนด บุคคลมีหน้าที่รับการศึกษาอบรมตามเงื่อนไขและวิธีการที่กฎหมายบัญญัติจงอธิบาย หากไม่ปฏิบัติจะเกิดอะไรขึ้น
ตอบ เหตุผลที่รัฐบาลต้องกำหนด บุคคลให้มีการศึกษา ก็เพราะ ต้องการให้คนมีการศึกษาติดตัวไป และต้องการให้มีความรู้เพื่อที่จะประกอบอาชีพและการทำงานและรัฐต้องคุ้มครองส่งเสริมความเสมอภาคเพื่อให้การศึกษาสอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงสร้างเสริมความรู้และปลูกจิตสำนึกที่ถูกต้องตามที่กฎหมายบัญญัติ
8.การจัดการศึกษาที่เปิดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาหากเราพิจารณารัฐธรรมนูญมีฉบับใดบ้างที่ให้องค์กรส่วนท้องถิ่นมีส่วนร่วม และถ้าเปิดโอกาสให้ท้องถิ่นมีส่วนร่วมมากขึ้นท่านคิดว่าเป็นอย่างไร จงอธิบาย
ตอบ  รัฐธรรมนูญเกือบทุกฉบับที่สนับสนุนให้ท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาและมีการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนให้ประชาชนมีบทบาทและมีส่วนร่วมในการปกครองและตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐอย่างเป็นรูปธรรม
9.เหตุใดการจัดการศึกษา รัฐต้องคุ้มครองและพัฒนาเด็กและเยาวชน ส่งเสริมความเสมอภาคทั้งหญิงและชาย พัฒนาความเป็นปึกแผ่นของครอบครัว และความเข็มแข็งของชุมชน สังเคราะห์ผู้ยากไร้ ผู้พิการหรือทุพพลภาพและผู้ด้อยโอกาส จงอธิบาย
ตอบ  รัฐต้องจัดการศึกษาอบรมและสนับสนุนให้เอกชนจัดการศึกษาอบรมให้เกิดความรู้คู่คุณธรรมจัดให้มีกฎหมายการศึกษาแห่งชาติ ปรับปรุงการศึกษาให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม สร้างเสริมความรู้และปลูกจิตสานึกที่ถูกต้องเกี่ยวกับการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข สนับสนุนการค้นคว้าวิจัยในศิลปวิทยาการต่าง ๆ เร่งรัดพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาประเทศ พัฒนาวิชาชีพครูและส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่น ศิลปะและวัฒนธรรมของชาติ
10.ผลการจัดการศึกษาที่ผ่านมาของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน มีผลต่อการพัฒนาประเทศอย่างไรบ้าง จงอธิบาย
ตอบ  สำหรับรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมีผลต่อการพัฒนาประเทศคืพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการจัดการศึกษาในทุกระดับและทุกรูปแบบให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม จัดให้มีแผนการศึกษาแห่งชาติ กฎหมายเพื่อพัฒนาการศึกษาของชาติ จัดให้มีการพัฒนาคุณภาพครูและบุคลากรทางการศึกษาให้ก้าวหน้าทันการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก รวมทั้งปลูกฝังให้ผู้เรียนมีจิตสานึกของความเป็นไทย มีระเบียบวินัย คำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวม